วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

D.I.Y. MP3 Player Headphone

ผมมักจะฝึกฟังภาษาต่างประเทศขณะเดินทางผ่านเครื่อง PDA (คอมพิวเตอร์แบบพกพา)เป็นประจำ  แต่ที่น่ารำคาญก็คือ ผมชอบเหน็บซองใส่ PDA ไว้ที่หูเข็มขัด แล้วโยงสายหูฟังแบบเหน็บรูหูมาที่หู  ผมไม่ค่อยชอบนักที่สายของมันระโยงระยางเกะกะ และการดึง PDA เข้าออกเพื่อเลือกไฟล์ก็ลำบากต้องถอดแจ๊คหูฟังออกก่อน  สายที่ระเกะระกะก็เก็บยุ่งยาก  ทางแก้มีด้วยกันหลายวิธี  แต่ผมนึกๆ ก็อยากจะได้หูฟังที่สามารถเล่น mp3ได้ในตัวเอาไว้ใช้งาน

หลังจากที่พยายามเดินหาตามร้านแถวคลองถมอยู่นานสองนาน  ก็ไม่พบว่ามีร้านค้าไหนขายเครื่องแบบที่ว่า  ซ้ำยังโดยคนขายหลายคนตอบกลับเหมือนกับว่ามันไม่มีเครื่องอะไรเทือกนั้นหรอก   ความจริงแล้ว หูฟังที่เล่น mp3ได้นั้นมีขายอยู่ อย่างเช่นของ SONY แต่สนนราคาค่าตัวมันผมคิดว่าแพงเกินไปสำหรับการที่ผมจะเอามาใช้งานแค่ฟังภาษา  เลยอยากได้เครื่องที่ราคาไม่แพงมากนัก แต่ก็ยังไม่แพร่หลายในท้องตลาด อย่ากระนั้นเลย ลงมือ D.I.Y.(Do It Yourself) ซะเลยดีกว่า


แพลนแรก ผมตั้งใจหาหูฟังที่ครอบหูแบบแขวนไปข้างหลังที่ไม่แพงนัก(แบบสำหรับเล่นกีฬา)  และทำการตัดต่อสายไฟเพื่อให้มันเชื่อมเข้ากับเครื่องเล่น mp3ขนาดเล็กๆ โดยให้สายไฟมาพันรวมกันที่ด้านเดียว  ข้อสำคัญคือ ด้านนอกของครอบหูฟังต้องค่อนข้างแบนเรียบ  ผมไปเจอหูฟังแบบที่ว่านี่ที่เซียร์รังสิต ในราคา 150 บาท  โชคดีอีกส่วนหนึ่งก็คือสายหูฟังมันโผล่ออกมาจากด้านเดียวอยู่แล้ว ก็คงไม่ต้องตัดสายบัดกรีแจ็คใหม่ให้เสียเวลา


ส่วนตัวเล่น mp3 ครั้งแรกผมเห็นเจ้าเครื่องเล่น mp3 แบบที่ต้องการที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ติดราคาอยู่ 350 บาท  แต่ตั้งใจอยู่ว่าจะไปเดินหาของที่คลองถม  ผมลงรถโดยสารแถบบ้านหม้อ เพื่อเดินดูสินค้าอิเลคทรอนิกส์สำหรับพร้อเจ็คอื่น  และก็เห็นไอ้เจ้า mp3 แบบเดียวกันนี้ในราคา 270 บาท  สุดท้ายผมมาได้เจ้า mp3 อย่างเดียวกันนี้ในราคาเพียง 250 บาท โดยไม่ได้ต่อรองราคา  ดูจากราคาก็คงต้องเป็นของจากเมืองจีนโดยไม่ต้องสงสัย และก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับคุณภาพเลย  สินค้าที่คลองถมยังถูกอยู่เสมอ เมื่อเทียบกับตลาดนัดจตุจักรที่ราคาเปลี่ยนแปลงไปมากในหลายปีมานี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากนิยมเดินทางไปที่นั่น เพื่อซื้อสินค้าเป็นของฝากและกลับไปจำหน่าย



เมื่อมาถึงบ้านแล้วแกะออกดู มันสร้างความประหลาดใจให้ผมพอควรในราคา 250 บาทนี้  โห นอกจากตัวเครื่องเล่น mp3 ขนาดเล็กๆ นี้แล้ว มันยังมี  วอลล์ชาร์จ 220โวลท์ ที่ขั้วออกเป็น USB แบบพับขาปลั๊กได้  หูฟังสเตริโอหนึ่งเส้น  แล้วก็สาย USB (ที่ใช้ได้ทั้งโหลดไฟล์จากคอมพิวเตอร์  ชาร์จไฟจามคอมฯ แล้วก็ต่อชาร์จไฟจาก วอลล์ชาร์จ)มาให้ด้วย  จีนทำได้จริงๆ  ลองคิดดูซิว่าต้นทุนจากโรงงานจะเป็นเท่าไร ในขณะที่ต้องผ่านพ่อค้ามาหลายมือ


mp3 ที่ได้นี้ มีแต่ตัวเล่นเฉยๆ ไม่มีหน่วยความจำ  ผมจำเป็นต้องไปซื้อหน่วยความจำที่เป็น Micro SD และก็เลยไปซื้อที่ห้างฟอร์จูนซึ่งอยู่ใกล้ที่พัก  ได้ Micro SD 2 GB จากร้านที่ซื้อประจำซึ่งอยู่ที่ชั้นสาม ในราคา 200 บาท  ร้านนี้สินค้าจะติดราคาตายตัว และจัดได้ว่าถูกหรือไม่แพงนักเมื่อเทียบกับอีกหลายร้าน (ภายหลังผมมาเจอ Micro SD ยี่ห้อเดียวกันนี้ในราคาเดียวกันที่ Telewiz แถมยังมี adapter SD ให้อีกด้วย)

ไ้ด้ memory มาปั๊ป  ผมลองโหลดไฟล์ mp3 เข้าเครื่องผ่านสาย USB ทันที  การโหลดไฟล์นั้นค่อนข้างช้ากว่าเครื่องเล่นตัวอื่นๆ ที่ผมมี  พอโหลดไฟล์เข้าเครื่องก็เปิดเล่นได้ทันที  เข้าใจว่ามันจะชาร์จไฟให้ด้วย  เสียงที่คาดว่าจะเบาเกินไป ก็อยู่ในระดับดังพอสมควร  แต่ไม่ดังมากนัก แม้จะเพิ่มโวลุ่มจนสุด  คุณภาพเสียงผมไม่ได้คาดอะไรอยู่แล้ว ก็เลยไม่ขอพูดถึง




ผมพันสายหูฟังของหูฟังตัวใหม่รอบก้านหูฟังเพื่อเก็บสาย  และตัดและติดเทปหนามเตยเข้ากับหูฟังด้านหนึ่ง และ ตัวเล่น mp3 โดยจัดวางตำแหน่งที่คิดว่าเหมาะสมก่อนจะลอกเทปติดลงไป  การใช้เทปตุ๊กแกนี้จะช่วยให้ผมขยับปรับเปลี่ยน หรือแยกชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้น   เทปหนามเตยหรือที่ผมเรียกเอาเองว่าเทปตุ๊กแกนี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษว่า Velcro Tape

รวมเบ็ดเสร็จ 620 บาท (เสียเทปตุ๊กแกไปประมาณ 20 บาท และไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ)  ผมได้ mp3 player headphone สตึๆ มาอันหนึ่ง  ความตั้งใจแต่แรกว่าจะใช้ปืนกาวยิง หรือใช้ซิลิโคนใสทาสายหูฟังให้ติดกับก้านมันก็ต้องระงับไว้ก่อน  ว่าจะลองใช้ดูอีกสักพัก เนื่องจากหลังจากทดลองใช้งานดูพบปัญหาเรื่องการเลือกไฟล์เพลงที่จะเล่น มันต้องเลื่อนไปทีละเพลง และมันไม่มีหน้าจอสำหรับดูชื่อเพลง ทำให้ไม่สะดวกนัก  ผมดูจากในอินเอตร์เนตก็พบเครื่องเล่นตัวอื่น รูปร่างแบบเดียวกัน แต่มีหน้าจอแสดงชื่อเพลงด้วย  ถ้ามีเวลาหรืออยากใช้งานเจ้านี่ต่อ ผมคงหามาเปลี่ยนอีกทีหนึ่ง  ส่วนอย่างอื่นๆ แล้วสำหรับการใช้งานในการฟังภาษาก็ไม่มีปัญหาอะไร

จับข่าวคุย - นักเรียนนักเลง Boy, aged 9, killed in Thai school gang shooting

หนังสือพิมพ์เป็นแหล่งฝึกการอ่านที่ดีที่สุดอันหนึ่ง โดยเฉพาะกับการเรียนรู้ภาษา
สมัยหนึ่งผมถึงกับเลิกอ่านหนังสือพิมพ์ไปพักหนึ่ง เพราะบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันไทยโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ชาวบ้าน มักมีแต่ข่าวฆ่าแกงกันทุกวัน และข่าวที่มักมีอยู่ประจำ โดยเฉพาะช่วงเปิดภาคการศึกษาใหม่ก็คือข่าวนักเรียนตีกัน และมักจะเป็นนักเรียนในกลุ่มอาชีวะศึกษาหรือช่างกลทั้งหลายแหล่

ผมไม่แน่ใจว่า ปัญหาเด็กนักเรียนตีกันมีเิกิดขึ้นในเฉพาะประเทศไทยหรือประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆ หรือไม่  แต่มันแสดงออกถึงความด้อยพัฒนาของประเทศได้อย่างชัดเจน (ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาก็พบปัญหาเรื่องการยิงหมู่จากเด็กนักเรียน หรือในญี่ปุ่นเองก็ปัญหาเรื่องอัตราการฆ่าตัวตายในหมู่นักเรียนวัยรุ่นที่สูง)

ปัญหาเรื่องเด็กนักเรียนตีกันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และมีการพยายามแก้ไขกัน(อย่างไม่จริงจัง - พอเกิดปัญหาทีก็แก้กันที) มาทุกยุคทุกสมัย ผมยังมองไม่เห็นวิธีทางแก้ปัญหาหรือทางออกที่ดีที่สุด แต่คิดว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว จะมีพวกหัวโจกเลวๆ หรือพวกที่อยากแสดงพาวให้เห็นว่าตัวเองนั้นแน่กว่าคนอื่น โดยการสร้างความรุนแรงหรือใช้ความรุนแรงมากๆ อยู่ไม่กี่ตัว หากจัดการแยกแยะพวกที่เลวๆ เหล่านี้ออกไป สังคมการศึกษาของเด็กนักเรียนที่เหลือน่าจะดีขึ้น

ผมมีความคิดอยู่เสมอว่า สังคมต้องแยกเอาคนเลวออกจากคนดีไปให้มากที่สุด โดยเฉพาะพวกเลวโดยสันดาน คนเลวๆ หนึ่งคน อาจสร้างความเดือดร้อนให้คนดีๆ เป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพันคน ยิ่งมีคนเหล่านี้มากเท่าไร สังคมก็อยู่ไม่เป็นสุขมากเท่านั้น

ผมไม่สามารถยอมรับกับความรุนแรงที่คนเหล่านี้ก่อได้ และไม่สามารถยอมรับว่าพวกเขาเหล่านี้ยังเป็นเด็กหรือเยาวชน สิ่งที่พวกเขาก่อควรได้รับการลงโทษสมกับความผิด หากบางกลุ่มคนยังมองว่าคนเหล่านี้ยังเป็นเด็กเป็นเยาวชนอยู่ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ผมว่ามีคนดีๆ อีกจำนวนมากต้องได้รับความเดือดร้อน บาดเจ็บหรือจบชีวิตลง กฎหมายควรได้รับการแก้ไขเพื่อลงโทษคนพวกนี้ในฐานะผู้ใหญ่ หากความผิดนั้นเป็นความผิดครุโทษ (โทษสถานหนัก)

ถึงแม้คนเหล่านี้อาจจะไม่ฉลาดมากนัก แต่คงฉลาดพอที่จะรู้ว่าอาวุธที่เค้าใช้นั้น มันฆ่าคนอื่นได้ และอาจพลาดไปโดนผู้อื่นได้ด้วย (หรือแม้กระทั่งใช้ฆ่าคู่อริก็ตามที) มันเป็นการเจตนาฆ่าชัดๆ และเป็นการเตรียมการมาก่อนแล้ว นอกจากนี้เราควรลงโทษขั้นรุนแรงเมื่อมีการตรวจพบอาวุธต่างๆ ไม่ว่า มีด ปืนหรือ ระเบิด เนื่องจากอาวุธเหล่านี้คือสิ่งที่สามารถนำไปก่อเหตุได้ และไม่ควรมาอยู่ในมือของผู้ที่จะเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา

คิดเล่นๆ นะครับ ถ้าคนพวกนี้ต้องการความรุนแรง ผมว่าเราน่าจะให้เค้าได้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง จับพวกมันไปปล่อยรวมกันแล้วปล่อยให้สู้หรือไล่ล่ากันเองจนตายไปให้หมด (ลองดูตัวอย่างจากหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง Battle Royale)

ส่วนพวกที่เหลือ ควรจัดกิจกรรมอื่นๆให้ทำ ให้มีเวลาเรียนรู้เรื่องสร้างสรรค์อื่นๆ ให้มากขึ้น เช่น ดนตรี กีฬา เกมส์ การประดิษฐ์ ฯลฯ (ผมชอบไอเดียรายการคนพันธุ์อา) ดึงเอาความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนออกมาให้มากที่สุด ให้เค้าได้เรียนรู้ในสิ่งที่เค้าชอบให้มากที่สุด เปิดโอกาสให้พวกเค้าให้มากที่สุด การไปอบรมร่วมกันโดยวิธีทางการทหารเห็นแล้วว่าไม่ค่อยได้ผลนัก

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ก็มีแม่ค้าตลาดถูกลูกหลงตายจากการไล่ยิงกันของคนเหล่านี้ สิ่งที่เรามักได้ยินอยู่เสมอจากญาติของผู้ตายหลังเกิดเหตุการณ์ก็คือ อยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นรายสุดท้าย และนี่ก็คืออีกรายหนึ่งที่ต้องพูดคล้ายๆ กันเช่นนั้น

Boy, aged 9, killed in Thai school gang shooting: police

BANGKOK, September 1, 2010 (AFP) - A nine-year-old boy was shot and killed in the Thai capital on his way to school Wednesday when a teenage gang opened fire on his bus, police said.

Jatupon Ponpaka was about to get off the bus with his elder brother at a stop in eastern Bangkok when about 10 students from a local high school started chasing the vehicle, opening fire as it sped away.

"The boy was shot in the face and neck and died later in hospital," said Police Lieutenant Pradit Taprasitjit, in charge of the investigation.

The same group of students went on to throw beer bottles at the next bus, which had four students from a rival school on board, he told AFP.

Fighting between rival school gangs in public places is common in Thailand, with innocent people often caught up in the violence.

"My son will not be the last victim to die in similar circumstances. There is no benefit from fighting each other. I want them to stop fighting," Ungsu Khamwong, the boy's mother, said on Thailand's PBS television channel.

ที่มา www.thaivisa.com



Boy, aged 9, killed in Thai school gang shooting: police
เด็กชาย มีอายุ 9 ถูกฆ่า ใน ไทย โรงเรียน แก๊งค์ การยิง:ตำรวจ
เด็กชาย วัย 9 ปี ตายจากเหตุการณ์ยิงกันของแก็งค์นักเรียน:ตำรวจรายงาน
BANGKOK, September 1, 2010 (AFP)
กรุงเทพ  กันยายน  1, 2010 (เอเอฟพี)
กรุงเทพ  1 กันยายน ค.ศ.2010 (เอเอฟพี รายงาน)
A nine-year-old boy was shot and killed in the Thai capital on his way to school Wednesday
คนหนึ่ง วัย 9 ปี เด็กขาย ถูกยิง และ ถูกฆ่า ใน ไทย เมืองหลวง ขณะเดินทาง ไป โรงเรียน วันพุธ
เด็กชายวัย 9 ปี ถูกยิงเสียชีวิตกลางเมืองหลวงของไทยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาขณะกำลังเดินทางไปโรงเรียน
when a teenage gang opened fire on his bus, police said.
เมื่อ วัยรุ่น แก๊งค์ เริ่ม ยิง บน ของเขา รถบัส ตำรวจ พูด
ระหว่างที่แก๊งค์วัยรุ่นเปิดฉากยิงใส่รถเมล์ของเขา ตำรวจกล่าว
Jatupon Ponpaka was about to get off the bus
จตุพร ผลผกา กำลังจะ ลงจาก รถบัส
ขณะที่ ด.ช.จตุพร ผลผกากำลังจะลงจากรถเมล์
with his elder brother at a stop in eastern Bangkok
กับ ของเขา พี่ชาย ที่ หยุด ใน แถบตะวันออก กรุงเทพ
พร้อมด้วยพี่ขายของเขาที่ป้ายรถเมล์บริเวณฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร
when about 10 students from a local high school started chasing the vehicle,
เมื่อ ราวๆ 10 นักเรียน จาก ท้องถิ่น โรงเรียนระดับมัธยม เริ่ม ไล่ตาม ยานพาหนะ
เมื่อเด็กนักเรียนราว 10 คนจากโรงเรียนอาชีวะในละแวกนั้นเริ่มไล่ตามรถคันที่เขานั่ง
opening fire as it sped away.
เริ่ม ยิง ขณะที่ มัน เผ่นหนีไป
และเริ่มต้นยิงขึ้นขณะที่รถเมล์พยายามเร่งเครื่องหนีไป
"The boy was shot in the face and neck and died later in hospital,"
เด็กชาย ถูกยิง ใน ใบหน้า และ ลำคอ และ ตาย ภายหลัง ใน โรงพยาบาล
เด็กชายถูกยิงเข้าที่ใบหน้าและตามลำคอ และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
said Police Lieutenant Pradit Taprasitjit,in charge of the investigation.
พูด ตำรวจ ร้อยโท ประดิษฐ์ ทะประสิทธิ์จิตต์ มีหน้าที่ เจ้าหน้าที่สืบสวน
พ.ต.ท. ประดิษฐ์ ทะประสิทธิ์จิตต์ กล่าวในฐานะเจ้าพนักงานสอบสวน (lieutenant colonel - พันโท)  
The same group of students went on to throw beer bottles at the next bus,
เดียวกัน กลุ่ม นักเรียน ทำต่อไป ขว้าง เบียร์ ขวด ไปยัง ต่อมา รถบัส
นักเรียนกลุ่มเดียวกันนั้นยังได้ขว้างขวดเบียร์เข้าใส่รถประจำทางคันถัดไปอีก
which had four students from a rival school on board, he told AFP.
ซึ่ง มี สี่คน นักเรียน จาก คู่แข่ง โรงเรียน โดยสาร เขา บอก เอเอฟพี
ซึ่งมีนักเรียนจากโรงเรียนคู่อรินั่งอยู่ด้วย เขากล่าวกับ เอเอฟพี
Fighting between rival school gangs in public places is common in Thailand,
การต่อสู้ ระหว่าง คู่ต่อสู้ โรงเรียน แก๊งค์ ใน สาธารณะ สถานที่ เป็น เรื่องสามัญ ใน ประเทศไทย
การตีกันระหว่างแก๊งค์นักเรียนคู่อริในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาในไทย
with innocent people often caught up in the violence.
กับ ไร้เดียงสา ประขาขน บ่อยๆ  ติดอยู่ด้วย ใน ความรุนแรง
พร้อมกับผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงเหล่านี้อยู่เสมอ
"My son will not be the last victim to die in similar circumstances.
ลูกของฉัน จะไม่เป็น สุดท้าย เหยื่อ ที่ ตาย ใน คล้ายๆกัน สภาพการณ์
ลูกของฉันคงไม่เป็นเหยื่อรายสุดท้ายที่ตายจากเหตุการณ์แบบนี้
There is no benefit from fighting each other.
มันไม่มี ประโยขน์ จาก การต่อสู้ กันและกัน
มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยที่จะตีกัน
I want them to stop fighting,"
ฉัน ต้องการ พวกเขา ให้ ยุติ การต่อสู้
ฉันอยากจะให้พวกเขาหยุดตีกัน
Ungsu Khamwong, the boy's mother, said on Thailand's PBS television channel.
อังศุ ขำวงศ์ ของเด็ก แม่ บอก ใน ของไทย พีบีเอส โทรทัศน์ ข่องสถานี
นางอังศุ ขำวงศ์ มารดาของเด็ก กล่าวกับสถานีโทรทัศน์พีบีเอสของไทย

การลงโทษนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ตำรวจควรจะทำก็คือ พยายามจับตัวผู้กระทำผิดมาให้ได้และโดยเร็วที่สุด ถ้าเกือบทุกกรณี ตำรวจสามารถจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ผู้จะกระทำผิดก็จะเกรงกลัวมากขึ้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้กระทำผิดสามารถลอยนวลอยู่ได้เป็นเวลานาน (ซึ่งทำให้เกิดการก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก) หรือไม่ก็ไม่เคยถูกจับกุมเพื่อมารับการลงโทษ ทำให้ผู้กระทำผิดเหล่านี้ได้ใจ และคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีรอดจากการรับโทษได้ทุกครั้ง - เมื่อวานนี้ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดในคดีนี้ได้แล้ว

หมายเหตุ: ผมรู้สึกว่าความคิดของตัวเองก็ไม่ต่างกับเด็กนักเรียนที่ตีกันเหล่านั้น คือไม่รู้จักให้อภัยและลดความเคียดแค้นโกรธแค้นลง และคิดเอาว่าการลงโทษนั้นเป็นการแก้แค้นที่สาสมอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดการแก้แค้นกันไม่รู้จบ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Jewel Wasp & Zombie Cockroach (i) - ถอดเสียงภาษาอังกฤษ



หมายเหตุ: การถอดเสียงไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ บางส่วนที่ไม่แน่ใจได้แสดงเป็นตัวสีเทา ผู้รู้สามารถแนะนำเพิ่มเติมในส่วนนี้หรือส่วนอื่นๆ ได้
 Note: You can advise on the transcript for completeness.


And one insect has taken that to the extreme,
twisting its venom for a diabolical purpose.
It's like something out of science fiction,
turning another animal into a zombie.
These … are the emerald jewel wasp.


In this lab at the University of California, Riverside,
researchers want to know how the wasp's chemical arsenal evolved
to completely control her host.


Science first became fascinating with venom
because they represent a kind of chemical warfare.


Jewel wasp are parasitoid.
They paralyze her prey so her offspring can live of them.
After decades of research,
scientists are beginning to understand the secret of parasitoid venom.
Female to battle with a host to its plentiful
widely avaiable and six times her size, … the American Cockroach.


Researcher Chris Banks has devised a genious method to experiment
with the wasp venomous attack.
We're going to put a wasp and a cockroach into this area right here
and let them interact.
Involving put in glass barrel here
and this will serve as make chip burrow for the wasp.


An unexpecting host is first introduced into the arena.
The roach is unaccustomed to threats from smaller animal.
The stage for the battle is set and the wasp is released.
As soon as the jewel wasp senses a host,
she was surprised her prey and used that brief moment to her advantage.
She attacks.
The wasp first sting is brilliantly stick inject
just enough to disarm the roach.


The first time it stings into the central nervous system
and caused a temporay paralysis of the front legs.


Venom hits the roach its nervous system in between its front legs,
breifly paralyzing them.


This allowed the wasp to do a second much more precise sting into the brain.


The wasp twists its body around the roach so it can sting into its brain
and inject the zombifying mixture.
The roach is breathing slow.
It makes no move to escape.


This brain's sting causes a dramatic behavioral changing in the cockroach,
basically turning into a zombie.
Wasp' venom is precisely engineered
to shut down signal carried by a key brain chemical called Dopamine.


In human and other animals
Dopamine is a naturally occurring chemical messenger in the brain.
It regulates movement and sensation.


With its Dopamine knocked out the roach cannot move freely or escape.
Millions of years of evolution have refined this wasp's ability to hit her target
and disrupt Dopamine with the precision of microscopic brain surgery.
This remarkable skill isn't learnt, it's inherited,
hard wired into each wasp.
They are natural born nerve surgeons.


To regain some of the energy the wasp has lost to her sting,
she clips the end of the roach antennae and take a drink of roach' blood.
Refueled the wasp lead her zombie cargo to her burrow.


But if the wasp can target her venom so well,
why doesn't she simply deliver a dead blow?


Venom is used for defense; venom is used for feeding;
but parasitoid do it for somthing totally different.
They actually use it for reproduction.


Inside the burrow the wasp lays her egg on a roach.
With survival of her offspring is stake,
the wasp' precision now make sense.
Her young depend on perfect execution of her sting.


Now the wasp barricades the defenseless roach inside the burrow.
For more than a week the wasp venom continue
to keep the roach common complaisance,
even if its newly hatched larva start to eat it alive.


From that single egg, a larvae hatched.
And ... after three days it drills a hole in the leg of the cockroach,
And … get the nutrition from the blood system of the still zombified cockroach.


And now for natural selection test,
too little or poorly aim venom and the roach could escape.
Too much venom and it will immediately die,
destroying the wasp offspring fresh food source.


Here we see the larva actually starting to burrow into the croaroach itself.
It will crawl inside,
and continue to feed out of the internal organ of the cockroach.
After another couple of days it will enter a coccoon.


If all goes accroding to plan,
six week from the first sting
a new adult jewel wasp emerges from the hollowed out dead roach.
The new wasp is ready to carry on its vicious legacy.
If she is a female her venom is ready to provide for a new generation.


The wasp is a very specific hunter, it only hunts cockroaches,
and only cockroaches of this species.
So every wasp that was born from a pupa
that was … that emerged from a dead cockroach,
had their mother that knew exactly what she was doing.
So in that way the wasps are getting better and better and better at this.


The only way that the wasp can subdue a croroach is
because it knows its prey so well
and it can inject the venom right where it needs to go,
and have exactly effect the wasp's need.


บทแปล   คำศัพท์

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตักปลา goldfish scooping

เกมส์ตักปลา ไม่รู้ว่ามีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าอะไร ผมเรียกเอาเองว่า เกมส์ตักปลา ซึ่งเข้าใจว่าอีกหลายๆ คนก็คงจะเรียกคล้ายๆ กันนี้ ส่วนใหญ่คนไทยเรามักจะตั้งชื่อสิ่งต่างๆ ตามลักษณะ ตามความของมันง่ายๆ โดยเอาคำขยายความมาเรียกขานกันเลย ไม่เหมือนฝรั่งมังค่าที่มักจะชอบเอาคำละตินบ้าง กรีกบ้าง ผสมปนเป เปลี่ยนเสียง เปลี่ยนรูป ให้เข้าใจจดจำยาก แล้วบอกว่ามันเป็นรากศัพท์ อ่านแล้วกว่าจะเดาว่าเป็นอะไร ก็ต้องสืบต้องค้นต้องจำรากศัพท์กันอีกให้วุ่นวาย ไทยเราก็ต้องเอาอย่างบ้างเพื่อให้ฟังดูทันสมัย แปลไทยเป็นไทยกันอีกที เข่น โลกาภิวัฒน์ หรือ โลกานุวัตร เป็นอาทิ



เกมส์ตักปลา (金魚すくい, 金魚掬い, Kingyo-sukui - http://en.wikipedia.org/wiki/Goldfish_scooping) เข้าใจว่าน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น (ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นชาติที่มีมีความคิดสร้างสรรค์หรือเจ้าแห่งเกมส์เพื่อความบันเทิง แต่ไม่หนักไปทางเกมส์เอ็กซตรีมแบบฝรั่ง) เนื่องจากผมค้นๆ ดูแล้ว ไม่ค่อยมีข้อมูลในฟากตะวันตกมากนัก วิดีโอในยูทูิบส่วนใหญ่ก็เป็นเกมส์ของญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมเคยดูเกมส์โชว์รายการหนึ่งจากญุุี่ปุ่นที่นำเด็กผู้หญิงซึ่งน่าจะเป็นแชมป์ตักปลา มาตักปลาโชว์ เธอสามารถตักได้มากกว่า 20 ตัวด้วยกระชอนกระดาษเพียงไม้เดียว ในเวลาไม่ถึงนาที เรียกว่า ตักวักตักวักกันเลยทีเดียว

เกมส์ตักปลาที่ว่านี้ จะมีบ่อปลาเล็กๆ ซึ่งจะอาจเป็นอ่าง กระบะพลาสติก หรือสระน้ำพลาสติกเล็กๆ ใส่ปลาจำพวกปลาทองตัวเล็กๆ ตัวย่อมๆ หรือปลาบอลลูน ปลาสอด ฯลฯ ไว้ให้เราตัก โดยเราจะต้องซื้อกระชอนกระดาษซึ่งตัวกระชอนทำด้วยโครงลวดหรือพลาสติกวงแหวนขนาดโตประมาณ 3-4 นิ้ว มีด้ามสั้นๆ บุด้วยกระดาษบางๆ ทากาวติดไว้ที่ตัวกระชอนในราคา 5 บาท หรือ 10 บาทต่อหนึ่งไม้ไว้ตักปลา แล้วก็จะมีกระแป๋งน้ำหรือขันเล็กๆ ไว้ให้คอยใส่ปลาที่อาจจะตักได้

กติกาง่ายๆ ก็คือห้ามเอากระแป๋งลงไปตักปลา หรือจุ่มกระแป๋งทั้งใบลงไปในน้ำเื่พื่อต้อนหรือวักปลาเข้าคอก เราจะเอากระชอนกระดาษ(ซึ่งจะเปื่อยและขาดได้ง่ายเมื่อเปียกน้ำ) จุ่มลงไปในน้ำ และก็ช้อนปลาขึ้น โดยไม่ได้จำกัดเวลา เวลาจะจำกัดอยู่ที่ กระดาษนั้นเมื่อเราตักอยู่สักพัก หรือออกแรงไล่ปลาในน้ำ หรือตักปลาขึ้นมา กระดาษมันก็พร้อมที่จะขาดทันที แต่เรายังคงตักได้เรื่อยๆ จนมันโหว่แบบที่คิดว่าช้อนปลายังไงก็ไม่มีทางขึ้นแล้วนั่นแหละ

ผมเล่นเกมส์ตักปลานี้ครั้งแรกที่เชียงใหม่ในงานรื่นเริงเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็คิดว่าพอรู้วิธีที่จะตักปลาได้อยู่ แล้วก็ยังเล่นมาอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีโอกาสได้เล่นบ่อยนัก โดยปกติจะเลือกตักแต่ปลาทองตัวขนาดย่อม ราคาขายกันประมาณ 20 บาท แล้วก็จะได้บ้างเป็นส่วนใหญ่ สักไม้สองไม้ก็ได้ตัวหนึ่ง หรือบางไม้ก็ได้ถึงสองตัว

พอมาถึงงานวัดคราวนี้ พอผมเห็นซุ้มตักปลา ซึ่งมีอยู่สามซุ้ม ก็นึกอยากลองวิชาสนุกๆ ขึ้นมา และสนนราคาถูกกว่าที่เคยตักมาก เกมส์ตักปลาที่ต่างจังหวัดนี้โดยปกติจะคิดกันที่ไม้ละ 10 บาท แต่ในงานนี้ คิดเพียงกระชอนละ 5 บาทเท่านั้น แถม 5 ไม้ 20บาท เสียด้วย ผมลงไปตักไม้แรก แล้วก็ใช้เทคนิคเดิม พอผมตักปลาไว้ได้ในกระชอน ยกปั๊บ ขาดทันที บางไม้พอจุ่มกระชอนลงไปไล่ปลาแป๊บ ยังไม่ทันได้ช้อนปลา กระดาษก็ขาดเลย

หมดไปยี่สิบบาทแรก ไม่ได้ปลาสักตัว ด้วยความเชื่อที่ว่าวิธีที่ใช้น่าจะใช้ได้ผล แต่อาจจะไม่คล่องมือหรือเลือนๆ ทำยังไม่ค่อยถูกท่า เลยขอลองใหม่อีกชุด ผมพบว่า กระดาษที่เค้าใช้นั้น บางและยุ่ยได้ง่ายจริงๆ แถมหลายๆ อันเมื่อยกขึ้นส่องไฟ ยังพบรูเล็ก ๆ อยู่ สองสามรูด้วย ไม่รู้ว่าตั้งใจเจาะ หรือกระดาษที่ผลิตมามันบางมาก แล้วก็ผลิตแบบลวกๆ จึงเกิดรูขึ้นเยอะ ใน 5 ไม้หลังนี้ ผมได้ปลาทองตัวเล็ก มาแค่ตัวเดียว และได้ให้เด็กอื่นที่มาเล่นตักปลาไป

ด้วยความที่ชอบเอาชนะ ผมกลับบ้านมานั่งค้นในอินเตอร์เนตเพื่อหาวิธีตักปลา จากการค้นเวบของไทยพบข้อมูลน้อยมากและไม่มีคนรู้เทคนิค หรือไม่ก็เป็นเทคนิคที่ผมคิดว่าไม่ค่อยเวิร์ค มีอยู่อันแนะให้พยายามตักปลาที่ใกล้ขอบลวดซึ่งผมคิดว่าพอเข้าท่า เนื่องจากที่ใกล้ของกระชอนกระดาษน่าจะมีแรงพยุงมากกว่าก่อนที่มันจะขาดลง

ผมจึงจำเป็นต้องค้นกูเกิ้ลเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้ว่าเกมส์นี้หรืออุปกรณ์นี้ภาษาอังกฤษเรียกว่ากระไร ผมเริ่มจากคำว่า fish catch แล้วก็คำว่า fair ซึ่งหมายถึงงานรื่นเริง หรืองานออกร้าน แล้วก็ดูจากรูปภาพเป็นหลัก จนได้รู้ว่าฝรั่งใช้คำว่า scoop สำหรับกระชอนตักปลาหรือตาข่ายจับแมลง (ซึ่งอาจเรียกว่า net) คำว่า scoop นี้ปกติหมายถึง กระบวยหรือช้อนที่ตักอะไรเป็นกำ เช่นที่ตักไอศกรีม หรือ กระบวยตัก popcorn จึงอาจใช้เป็นลักษณะนามสำหรับจำนวนเป็นกำหรือเป็นลูกที่ถูกตักขึ้นมาได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังหมายถึง สกู๊ปของบทความ หรือข่าว

ในที่นี้คงหมายถึง ช้อนในการตักปลานั่นเอง ในที่สุดผมก็รู้ว่า กระชอนตักปลานี้ เรียกว่า paper scoop และเกมส์นี้ฝรั่งเรียกว่า goldfish scooping แต่ก็ค้นไม่พบเทคนิคดีๆ ในการตักปลาอยู่ดี เลยคิดว่าต้องพยายามสังเกตจากวิโดีโอในยูทูบแทน และจากการใช้คำว่า goldfish scooping ก็สามารถพบวิดีโอในยูทูบสมใจ

เทคนิคในการตักปลาที่ผมใช้ในครั้งแรกนั้น ก่อนที่ผมจะรู้ ผมได้ลองตักปลาดูครั้งสองครั้งแล้วก็ไม่ได้ เลยยืนดูคนขายตักปลาที่ชักชวนลูกค้ามาเล่นอยู่สักพัก เพราะเห็นเขาตักได้ทุกครั้ง ไม้ละตัวสองตัวโดยกระดาษยังไม่ขาดด้วยซ้ำ จากการสังเกตพบว่า คนขายเขาจะข้อนปลาทองให้มันดิ้นอยู่ใกล้ผิวน้ำหรือปริ่มผิวน้ำ สักพักมันจะอ่อนแรงลง จังหวะนั้นเราสามารถตักปลาขึ้นมาได้ง่ายขึ้นโดยกระดาษจะไม่ขาด นอกจากนี้การตักปลาปริ่มผิวน้ำ ยังทำให้ปริมาณแรงกดของน้ำตอนยกกระชอนในขณะยกกระชอนขึ้นไม่มากด้วย เนื่องจากกระชอนอยู่ใกล้ผิวน้ำมากนั่นเอง

นอกจากนี้ เวลาที่เราเอากระชอนไล่ปลาให้มาอยู่เหนือกระชอนนั้น อย่าเอากระชอนขวางการไหลของน้ำ ให้ราบกระชอนไปตามทิศทางที่เราเคลื่อนกระชอน เพื่อเฉือนน้ำและลดแรงที่ดันกระดาษให้น้อยที่สุด ครั้งหลังจากนั้น เมื่อผมเห็นคนเล่นตักปลาหลายครั้งแล้วไม่ได้ ผมก็จะไปช่วยกระซิบบอกวิธีที่ว่าข้างต้นให้ (โดยเฉพาะกับสาวๆ ) ก็เห็นเค้าก็จะตักกันได้เช่นกัน


ผมไม่สามารถหาได้ว่ามีเทคนิคพิเศษอื่นๆ อีกไหม แต่ดูจากวิดีโอ ก็พบว่าคนที่ตักเก่งๆ หรือเด็กส่วนใหญ่วักกันเร็วมาก ก็คิดเอาเองว่า กระดาษเค้าคงเปื่อยยากกว่า ผมกลับไปเล่นตักปลาอีกสองครั้งในวันอื่น พยายามปรับเทคนิค และตักปลาใกล้ขอบกระชอน ส่วนใหญ่ก็จะพลาดหมด มีได้มาอีกสองตัวเท่านั้น จากการตักไปประมาณ 20 ไม้      แล้วเราต้องเจอกันอีกแน่... เกมส์ตักปลา

งานวัด(ดวง)

ผมเป็นคนที่ชอบงานรื่นเริงประเภทที่เรียกว่างานวัด เนื่องจากมันให้บรรยากาศความรู้สึกบ้านนอกดี ปัจจุบันเราสามารถพบเห็นงานประเภทนี้ได้ทั่วๆ ไปในกรุง โดยไม่ต้องรอเทศกาลงานบุญใดๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจัดกันในวัดอีกต่อไป

สิ่งที่่พบเห็นได้บ่อยๆ ตามงานวัดนี้ ก็คือการออกร้านของพวกซุ้มขายอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของกินเล่น โดยเฉพาะลูกชิ้นแป้ง และก๋วยเตี๋ยวผัดเส้นต่างๆ งานบางงานก็จะดูเหมือนงานขายลูกชิ้นขายก๋วยเตี๋ยวไปเลยทีเดียว

นอกจากนี้ก็จะมีเครื่องเล่นและเกมส์การละเล่นต่างๆ สำหรับเด็กบ้าง ผู้ใหญ่บ้าง ส่วนของเครื่องเล่นก็มีอาทิเช่น รถบั๊ม ชิงช้าสวรรค์หรือม้าหมุนขนาดย่อม ฯลฯ และเครื่องเล่นที่สมัยใหม่หน่อยเช่นบ้านลมสำหรับเด็ก บางงานที่ใหญ่หน่อย เราอาจจะได้ดูรถไต่ถัง หรือมีเวทีคอนเสิร์ทกันเลยทีเดียว

ในส่วนเกมส์การละเล่นมักออกจะเป็นเกมส์ที่ออกไปในทางเกมส์การเสี่ยงดวงเสียเป็นส่วนใหญ่ บางเกมส์ก็จะเป็นเกมส์ที่ต้องใช้ทักษะหรือฝีมืออยู่บ้าง เช่น ยิงปืน ปาลูกโป่ง แต่โดยเฉพาะผู้ใหญ่แล้ว งานวัดเหล่านี้มักจะมีเกมส์ที่ออกไปการเสี่ยงดวงเล็กๆ หรือหนักไปถึงการพนันกันโต้งๆ เช่น ปั่นแปะ น้ำเต้าปูปลา หรือ เกมส์ที่คล้ายๆ ไฮโลเลยทีเดียว อยู่เต็มไปหมด

ตั้งแต่สัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมา แถวบ้านผมกำลังมีหน่วยเคลื่อนที่จัดงานรื่นเริงนี้มาให้ใช้บริการอยู่ ก็ตามปกติ ที่จะเต็มไปด้วยซุ้มพนันและเสีี่ยงดวงต่างๆ ในระยะหลายปีมานี้ ก็จะเป็นการปาลูกโป่ง แลกของรางวัลที่มักจะเป็นตุ๊กตารูปสัตว์ ตัวใหญ่บ้างน้อยบ้าง ตัวผมเองไม่ค่อยชอบเสีีี่่ยงดวงประเภทที่ต้องวัดดวงกันโดยตรง เนื่องเพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนไม่ค่อยมีดวง และ การพนันเหล่านี้ แม้ว่าเจ้ามือมีแต้มต่ออยู่มากแล้ว ก็ยังใช้เล่ห์โกงสารพัด ซึ่งจะเห็นคนที่มีหน้าเป็นม้าอยู่เต็มไปหมด

แม้กระทั่งเกมส์เสี่ยงดวงที่ต้องใช้ฝีมือหรือทักษะอยู่บ้าง ก็ไม่พ้นที่เจ้ามือพยายามจะพยายามหาวิธีโกงเรา หรือเอาเปรียบเราให้มากที่สุด อย่างเช่น เกมส์ปากระป๋อง (กับกระป๋องบางใบที่ล้มลุกได้) เกมส์ยิงลูกหิน(กับที่ยิงหนังสติ๊กที่หย่อนยานสุดๆ) หรืออย่างเกมส์ปาลูกโป่งซึ่งผมชอบเล่นมาหลายปีตั้งแต่ยังไม่ฮิต และคว้ารางวัลมาบ่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ ไม่อยากปาแล้ว เพราะไม่เคยได้อีกเลย อาจด้วยเพราะฝีมือตกไปมาก (เจ้าของร้านจะพรางสีพื้นหลังให้เข้ากับลูกโป่ง และใช้ลูกโป่งที่ยาวและคอดลงจากสมัยก่อน)

โดยปกติผมมักจะสนใจเกมส์ที่ต้องใช้ฝีมือในการเอาชนะ โดยเฉพาะการขบคิดวิธีที่จะเอาชนะในเกมส์ตามกติกาให้ได้ ในงานครั้งนี้ ผมเสี่ยงเล่นบิงโกไปสองเกมส์ก็พอได้แต่ลุ้น ที่ผมสนใจ ก็มีเกมส์ตักปลาที่สนใจลงไปเล่น และเกมส์โยนลูกบอลลงตะกร้า

งานรื่นเริง งานออกร้าน - fair
งานเทศกาล งานเฉลิมฉลอง - festival
งานวัด - temple fair
ซุ้มออกร้านเล็กๆ - booth
ก๋วยเตี๋ยว - noodle
ก๋วยเตี๋ยวผัด - fried noodle
ซุ้มที่มีลักษณะเป็นกระโจมขนาดใหญ่ หรือ บูธ ในงานโชว์ต่างๆ -pavilion
ชิงช้า - swing
ชิงช้าสวรรค์ - Ferris wheel
ม้าหมุน - merry-go-round หรือ carousel, roundabout
ไฮโล - High-Low - สูง-ต่ำ
การพนัน - gambling
พนัน - gamble, bet
ลูกโป่ง - balloon
เล่ห์เหลี่ยม, ลูกเล่น - trick
โกง, หลอกลวง - cheat
ของรางวัล - prize
ตุ๊กตาผ้า - soft doll
ตุ๊กตาสัตว์ - soft animal, animal doll
หน้าม้า - shill, a decoy for gambling, tout
นกต่อ - decoy

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Day Zero - อำเภอใจ

อาจจะเป็น Blogger หน้าใหม่ แต่สำหรับงานเขียนหนังสือ สำหรับผมก็ไม่ใหม่สักทีเดียว เพียงแต่ประสบการณ์งานเขียนยังน้อยมาก แล้วก็เป็นงานเขียนเชิงวิชาการเสียเป็นส่วนใหญ่
ที่หันจะมาเป็น blogger กับเค้าบ้าง ทั้งๆที่ไม่เคยมีความคิดมาก่อน และรู็สึกว่ากระแส blog ระยะหลังๆ นี้จะซาๆ ไปเพราะมี social network ใหม่ๆ ให้เล่นกัน ก็เพราะว่าอยากจะเขียน เขียนอะไรออกมาบ้าง

ทำไมถึงอยากจะเขียนนักหละ ผมเองรู้สึกว่ามันหมดยุคที่รัฐหรือนักวิชาการจะมาแนะนำให้คนไทย หรือคนโลก อ่านหนังสือกันเยอะๆ แล้ว มันไม่ทันกินชาวบ้านเค้า รัฐฯ ควรแนะนำให้เด็กรุ่นใหม่หันมาเขียนกันให้มากขี้น ไม่ใช่อ่านกันให้มาก ผมคิดว่าการเขียนช่วยพัฒนาคนได้ดีกว่าการอ่านมากนัก (แต่ไม่ใช่อ่านให้น้อยลง เพียงอยากแต่ให้เขียนกันให้มากขึ้น ซึ่งการจะเขียนให้ได้หรือให้ได้ดีก็จำเป็นต้องอ่านมากๆ อยู่แล้ว)

การเขียนเป็นเรื่องที่ยากกว่าการอ่าน และจำเป็นต้องรู้ถึงสิ่งที่จะเขียนดีพอสมควรถึงจะเขียนออกมาได้
  • การเขียนช่วยให้เรามีสมาธิต่อเรื่องนั้นๆ มากกว่าการอ่าน การอ่านนั้น ในหลายครั้ง สมองหรือจิตใจเราไม่ได้รับรู้หรือติดตามเรื่องราวที่อ่านตลอดเวลา บางครั้งเราเพียงแต่ออกเสียงตัวหนังสือเหล่านั้นในใจแต่ไม่ได้คิดตาม
  • การเขียนช่วยให้เราจดจำได้ดีขึ้น
  • การเขียนช่วยให้เรารู้ว่าเราเข้าใจสิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจนั้น เราเข้าใจมันจริงหรือดีพอหรือไม่
  • การเขียนต้องการการค้นคว้า
  • การเขียนที่ดีต้องการการเรียบเรียงความคิด ก่อนที่เราจะเขียนออกมาได้นั้น เราจำเป็นต้องคิดหรือผ่านขบวนการคิดเสียก่อน (ไม่ว่าการคิดนั้นจะคิดถูกหรือคิดแบบผิดๆ)
  • ฯลฯ

พอเอาเข้าจริงผมก็นึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรใส่ลงในบลอกดี นั่งนึกอยู่นานสองนาน...เลยนึกถึงคำแนะนำของพวกนักเขียนอาชีพหรือนักเขียนรุ่นใหญ่ที่ว่า ให้เขียนสิ่งที่เรามีประสบการณ์ หรือเขียนในสิ่งที่เรารู้ หรือชำนาญ

มานั่งนึกๆ ดู ก็รู้สึกว่าตัวเองมีแต่เรื่องที่สนใจใคร่รู้แต่ก็รู้ไม่มากพอในแต่ละเรื่อง (ก็ดีจะได้ไปค้นคว้าเพิ่มเติม) ที่จะพอวัดวากับเค้าได้ก็มีเรื่องของ คอมพิวเตอร์ ภาษา แล้วก็ความสนใจงานทางด้านศิลปะ การท่องเที่ยว(แม้ว่าจะไม่ได้ไปไหนนานมากแล้ว) งานทางกลและอิเลคทรอนิกส์ พวกดีไอวาย โน่นนิดนี่หน่อย
นอกนั้นก็อยากจะเล่าความคิดอ่านของตัวเองต่อเรื่องบางเรื่องของสังคมบ้าง เลยเอาเป็นว่าจะเขียนมันเรื่อยเปื่อย จิปาถะ ตามอำเภอใจ (อำเภอนี้มันอยู่ที่ไหนหนอ) อันไหนที่สนใจใคร่รู้แต่ไม่ค่อยรู้ก็จะค้นๆ มาเล่ามาบ่นกันฟัง

ถือว่านี่เป็น วันที่ศูนย์ ของ blogger หน้าใหม่คนนี้แล้วกัน